Ska คือ ดนตรีเต้นรำ ที่มีถิ่นกำเนิดจากดินแดน Jamaica เค้าว่ากันว่าเกิดในช่วงยุค 50 ผสมผสาน
ระหว่างดนตรีเมนโต้ (ดนตรีท้องถิ่นของJamaica) และคาลิปโซ กับ ร๊อคแอนด์โรล แจ๊ซ และ ริทึ่มแอนด์บลู
ที่มาจากฝั่งอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสถานีวิทยุอเมริกันที่ลอยข้ามทะเลมา ไม่ว่าจะเป็นคลื่นจากฟลอริดา
หลุยส์เซียนา หรือ นิวออร์ลีน
แพร่หลายในกลุ่ม Rude boys , Mods และ Skinhead เพลงสกาแบ่งออกเป็น 3 ยุค
ยุคแรกเกิดในจาไมก้าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2-ปลายยุค 60 เป็นสกาประเภทดั้งเดิม (Tradition Ska)
ถ้าพูดถึงยุคนี้ต้องพูดถึงวง Skatalites
ยุคที่ 2 เป็นยุคที่เรียกว่า 2 Tone เป็นช่วงของค่าย 2 tone record ซึ่งซาวนด์ ของค่ายนี้เป็นการผสมผสาน
ของสกาแบบจาไมก้าและดนตรีพังค์ เป็นที่มาของสี ขาว-ดำ สัญลักษณ์ของดนตรีสกา เป็นยุคที่คนขาวและ
คนดำมาร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเยียดสีผิว สกายุคนี้เจริญเติบโตและเป็นที่นิยมใน
สหราชอาณาจักรและอังกฤษดินแดนแห่งชาวMods ในช่วงปลาย 70 - ต้น80 วงที่ต้องพูดถึงของยุคนี้ คือ
วง The Specials
ยุคที่ 3 เป็นยุคที่เรียกว่า New wave เป็นยุคที่ดนตรีสกาได้แพร่หลายในอเมริกาและประเทศอื่นๆ เริ่มตั้งแต่ยุค
90 เป็นต้นไป....^^
...
Reggae คือ ดนตรีที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกันกับเพลงสกา ก็คือจาไมก้าอีกนั่นแหล่ะ เป็นดนตรีที่พัฒนามาจาก
ดนตรีสกา คาดว่าเกิดในช่วงปลายยุค 60 มีการทำจังหวะของเพลงสกาให้ช้าลงและมีการเรียกดนตรีชนิดนี้ว่า
Rockstedy ชื่อดนตรีชนิดนี้อาจยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรามากนัก แต่เป็นเพลงที่มีลักษณะคล้ายกับเพลงสกา
แต่จะมีจังหวะที่ช้ากว่า หลังจากเกิดดนตรีร๊อคสเตดี้ ก็เกิดรูปแบบของดนตรีที่เรียกว่า Reggae เพลงร็อคของ
ชาวอเมริกัน เกิดจากการผสมผสาน ของร๊อคแอนด์โรลของอเมริกันกับท่วงทำนองดนตรีพื้นเมืองของจาไมก้า
ดนตรีเร็กเก้จะมีจังหว่ะที่ช้ากว่าร๊อคสเตดี้ เครื่องดนตรีที่เป็นหัวใจสำคัญคือ กีต้าร์ เบส กลอง
ส่วนคีย์บอร์ดหรือ ออแกน และ กีต้าร์จะเน้นบทบาทอยู่ที่การให้จังหวะ อาจมีเสียงเครื่องเป่าชนิดต่างๆเข้ามามี
ส่วนร่วมอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าเพลงสกา
จังหวะที่โดดเด่นของเร็กเก้ อยู่ที่จังหวะเคาะ ที่เรียกว่าจังหวะสะกดจิต ได้รับอิทธิพลมาจากการตีกลองแบบ
อัฟริกัน (ซึ่งเป็นดนตรีพื้นเมืองของชาวจาไมก้า) ชาวจาไมก้าเรียกดนตรีที่เลียนแบบดนตรีสไตล์พื้นเมืองนี้
ว่า Root Music
...
นอกจากนี้ ดนตรีเหล่านี้ก้อยังพัฒนาและแยกย่อย ไปเป็นอีกหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น Lovers Rock , Dub ,
Raggamuffin , Dance hall , Reggaeton Skapunk , Ska-Jazz ถ้ามีโอกาสจะนำมาแนะนำให้ฟังนะครับ
...
Rude Boys คือ คำเรียกขานตัวเองของวัยรุ่นชาวจาไมก้าที่หลงใหลในดนตรีชนิดนี้ พวกเค้ามักเพ่นพ่านอยู่
ตามสถานที่เต้นรำ สุมหัวกันเป็นแก๊งค์ พกพาอาวุธทุกชนิดไม่ว่ามีดหรือปืน และมักปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
อยู่เสมอ
คำว่า Rude ตามนิยามของพวกเค้าหมายถึงใครก็ได้ที่ต่อต้านรัฐบาล ความหมายยังแฝงนัยไปถึงพวกอนาธิปไตย
และนักปฏิวัติแห่งถิ่นสลัม รวมถึงพวกมือปืน แก๊งค์วายร้าย พวกมือรับจ้างทำงานผิดกฎหมาย ซึ่งถูกกดดันให้
กลายเป็นแก๊งค์อันธพาลโดยพรรคการเมืองชั้นนำสองพรรคของจาไมก้าในยุคนั้น
Rude boys คือ แฟชั่นทางสังคมที่ยืนอยู่หน้าสุดในบรรดาแฟนเพลงทั้งหลาย พวกเค้าถูกใช้เป็นเครื่องมือของ
บริษัทอัดแผ่นเสียง ในการรักษาสถานการณ์ขณะที่จัดเต้นรำหรือคอนเสิร์ต ในบางครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ทำลายธุรกิจของฝ่ายตรงข้าม พวกเค้าคือกลุ่มวัยรุ่นที่มีเนื้อเพลงพูดถึง Rudeboys ถูกกล่าวถึงทั้งแง่ดีและแง่
ร้าย สังคมจาไมก้าส่วนใหญ่มองดูคนเหล่านี้ในฐานะตัวปัญหา ขณะที่บางส่วนมองอย่างเข้าใจ
Bob marley และเพื่อนๆครั้งหนึ่งก็เคยตั้งชื่อวงของพวกเค้าว่า The Wailing Rudeboys ...^^
...
ที่มาของข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ มาจากหนังสือ "ศาสดาขบถ กัญชา อิตถีเพศ และเทศนาด้วยบทเพลง"
เขียนโดย Stephen Davis และแปลโดย อัคนี มูลเมฆ สำนักพิมพ์ปัจเจกชน
แล้วจะนำเรื่องราวที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ....แล้วเจอกัน Jah...^^
jennie999
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ประวัติความเป็นมาของเพลงสกา
แดนซ์ฮอลล์ เริ่มพัฒนาและแพร่หลายขึ้นในจาไมก้า นับตั้งแต่ปี 1979
โดยมีแกนนำคือ Yellowman} Super Cat} Barrington Levy. และพัฒนากลายเป็น
Raggamuffin ในต้นยุค 90 โดยการร้อง แรป ด้นสด แทรกเข้ามาในเพลงแดนซ์ โดยมีจังหวะที่เร็วกว่า เร็กเก้
โดยใช้ช้เสียงกลองสังเคราะห์ แทนเสียงกลองธรรมดา ซึ่งในยุคแรกๆ มีเนื้อหา และเนื้อร้องที่ หยาบ เถื่อน และดิบ
จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มหนุ่มสาวชาวจาไมก้า และสืบทอดมาจนปัจจุบัน ได้แพร่หลายไปทั่ว
ดีเจลีด ได้ให้คำนิยามต่อมาว่า
"ถ้า เรกเก้ต้นฉบับในปี 1970 เป็นสี แดง เขียว และทอง ละก้อ ก้าวต่อไปของเร็กเก้ ก้อคือ โซ่ทอง"
(คงหมายถึงการรวบรวม และเรียงร้อยและพัฒนาให้เป็นโว่ทองหลากสีสวยงาม ลูกเล่นแพรวพราว...ทำนองนั้นน่ะครับ)
ปลายปี 90 ใน จาไมก้า มีการพัฒนาเนื้อหา คำร้องให้ออกมาทางแนว จิตวิญญาณในลัทธิ Rastafarianism แต่ทว่า
แนวดนตรีแดนซ์ฮอลล์ ได้ข้ามเขตแดนเข้ามาเจริญเติบโตนอกจาไมก้าเสียแล้ว ดังปี 2001
Shaggy รับ แผ่นเสียงทองคำขาว หกแผ่น จากการทำยอดขายในอัลบั้ม Hotshot ต่อมาในปี 2002 ก้อได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง American Music Award และ Grammy อีกด้วย ทั้งยังได้รับ สองรางวัลใน World Music Award อีกด้วย
ขณะที่ จังหวะของแดนซ์ฮอลล์ ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาในปี 2003 กับ Get Busy ของ Sean Paul.
ทำให้ ดนตรีแนวแดนซ์ฮอลล์ ได้เข้ามาแทนที่ดนตรีจาไมก้า (คงหมายถึง เรกเก้)
จึงมีความหมายรวมไม่เพียงเฉพาะ ท่วงทำนอง และเนื้อร้องเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงแนวคิด และ
วัฒนธรรมของชาวจาไมก้าที่ได้แทรกเข้ามาหลอมรวมกันในท่วงทำนองนั้นๆ อีกด้วย
ดังนั้นจุดสูงสุดของดนตรีแนวนี้ กล่าวคือ ช่วงระหว่าง ปี 89 - 94 และ 99 - 2004 ได้ให้กำเนิดศิลปินแนวนี้ต่างๆ มากมาย
อาทิ Buju Banton, Bounti Killa, Spragga Benz, Beenie Man, Capleton, Elephant Man, Shaggy, Sean Paul และ Sizzla
เพลงดังๆ อย่าง No No No ของ Dawn Penn และ Murder She Wrote ของ Chaka Demus & Pliers ถือ เป็น
เพลงแดนซ์ฮอลล์ ฮิตๆ รุ่นแรก ในอเมริกา ในช่วงต้น 90
พอจะกล่าวได้ว่า แดนซ์ฮอลล์ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยผลจากปัจจัย ทางการเมืองและเศรษฐกิจในจาไมก้า
โดยการพัฒนาขึ้นมาจากเรกเก้ (ที่ได้รับอิทธิพลจาก ศาสนา ความเชื่อ และแรงขับเคลื่อนทางสภาวะสังคม
ในช่วงต่างๆ) ถือเป็น ภาควิทยาศาสตร์ของเรกเก้ อีกด้วย
ทว่า ดนตรีแนวนี้กลับโดนดูถูกและโขกสับเละเทะ จากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ Ian Boyne
นักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในจาไมก้า และถูกบถากถาง จากกลุ่มรักร่วมเพศในจาไมก้า
ถึงประเด็นของเนื้อหาที่ดูถูก เหยีดหยาม ชาวรักร่วมเพศอีกด้วย
แม้ว่า ดนตรีแนวนี้ จะไม่สามารถเข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย เนื่องด้วย ผู้คนทั้งหลายต่างๆตัดสินจาก พื้นฐานวัฒนธรรม
และความรู้สึกของตนเอง ดังคำว่า Bun ที่หมายถึง burn ก้อไม่ได้รับการยกย่องว่า มีสุนทรีย์ทางภาษา แต่อย่างไรก้อดี
วลีที่ว่า Bun Sodomites ก้อไม่ได้หมายถึง Burn Sodomites แต่กลับเป็นคำเสียดสีที่แสดงว่า
คุณเป็นประเภท หัวดื้อ ไม่ยอมรับ ค้านหัวชนฝา ต่างหาก
โดยมีแกนนำคือ Yellowman} Super Cat} Barrington Levy. และพัฒนากลายเป็น
Raggamuffin ในต้นยุค 90 โดยการร้อง แรป ด้นสด แทรกเข้ามาในเพลงแดนซ์ โดยมีจังหวะที่เร็วกว่า เร็กเก้
โดยใช้ช้เสียงกลองสังเคราะห์ แทนเสียงกลองธรรมดา ซึ่งในยุคแรกๆ มีเนื้อหา และเนื้อร้องที่ หยาบ เถื่อน และดิบ
จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มหนุ่มสาวชาวจาไมก้า และสืบทอดมาจนปัจจุบัน ได้แพร่หลายไปทั่ว
ดีเจลีด ได้ให้คำนิยามต่อมาว่า
"ถ้า เรกเก้ต้นฉบับในปี 1970 เป็นสี แดง เขียว และทอง ละก้อ ก้าวต่อไปของเร็กเก้ ก้อคือ โซ่ทอง"
(คงหมายถึงการรวบรวม และเรียงร้อยและพัฒนาให้เป็นโว่ทองหลากสีสวยงาม ลูกเล่นแพรวพราว...ทำนองนั้นน่ะครับ)
ปลายปี 90 ใน จาไมก้า มีการพัฒนาเนื้อหา คำร้องให้ออกมาทางแนว จิตวิญญาณในลัทธิ Rastafarianism แต่ทว่า
แนวดนตรีแดนซ์ฮอลล์ ได้ข้ามเขตแดนเข้ามาเจริญเติบโตนอกจาไมก้าเสียแล้ว ดังปี 2001
Shaggy รับ แผ่นเสียงทองคำขาว หกแผ่น จากการทำยอดขายในอัลบั้ม Hotshot ต่อมาในปี 2002 ก้อได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง American Music Award และ Grammy อีกด้วย ทั้งยังได้รับ สองรางวัลใน World Music Award อีกด้วย
ขณะที่ จังหวะของแดนซ์ฮอลล์ ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาในปี 2003 กับ Get Busy ของ Sean Paul.
ทำให้ ดนตรีแนวแดนซ์ฮอลล์ ได้เข้ามาแทนที่ดนตรีจาไมก้า (คงหมายถึง เรกเก้)
จึงมีความหมายรวมไม่เพียงเฉพาะ ท่วงทำนอง และเนื้อร้องเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงแนวคิด และ
วัฒนธรรมของชาวจาไมก้าที่ได้แทรกเข้ามาหลอมรวมกันในท่วงทำนองนั้นๆ อีกด้วย
ดังนั้นจุดสูงสุดของดนตรีแนวนี้ กล่าวคือ ช่วงระหว่าง ปี 89 - 94 และ 99 - 2004 ได้ให้กำเนิดศิลปินแนวนี้ต่างๆ มากมาย
อาทิ Buju Banton, Bounti Killa, Spragga Benz, Beenie Man, Capleton, Elephant Man, Shaggy, Sean Paul และ Sizzla
เพลงดังๆ อย่าง No No No ของ Dawn Penn และ Murder She Wrote ของ Chaka Demus & Pliers ถือ เป็น
เพลงแดนซ์ฮอลล์ ฮิตๆ รุ่นแรก ในอเมริกา ในช่วงต้น 90
พอจะกล่าวได้ว่า แดนซ์ฮอลล์ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยผลจากปัจจัย ทางการเมืองและเศรษฐกิจในจาไมก้า
โดยการพัฒนาขึ้นมาจากเรกเก้ (ที่ได้รับอิทธิพลจาก ศาสนา ความเชื่อ และแรงขับเคลื่อนทางสภาวะสังคม
ในช่วงต่างๆ) ถือเป็น ภาควิทยาศาสตร์ของเรกเก้ อีกด้วย
ทว่า ดนตรีแนวนี้กลับโดนดูถูกและโขกสับเละเทะ จากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ Ian Boyne
นักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในจาไมก้า และถูกบถากถาง จากกลุ่มรักร่วมเพศในจาไมก้า
ถึงประเด็นของเนื้อหาที่ดูถูก เหยีดหยาม ชาวรักร่วมเพศอีกด้วย
แม้ว่า ดนตรีแนวนี้ จะไม่สามารถเข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย เนื่องด้วย ผู้คนทั้งหลายต่างๆตัดสินจาก พื้นฐานวัฒนธรรม
และความรู้สึกของตนเอง ดังคำว่า Bun ที่หมายถึง burn ก้อไม่ได้รับการยกย่องว่า มีสุนทรีย์ทางภาษา แต่อย่างไรก้อดี
วลีที่ว่า Bun Sodomites ก้อไม่ได้หมายถึง Burn Sodomites แต่กลับเป็นคำเสียดสีที่แสดงว่า
คุณเป็นประเภท หัวดื้อ ไม่ยอมรับ ค้านหัวชนฝา ต่างหาก

เพลงสกา
สกา
เป็นแนวเพลงที่เกิดในประเทศจาไมก้า ช่วงปลายทศวรรษที่ 50 ซึ่งต่อมามีการพัฒนาเป็น rocksteady และ เร้กเก้
เพลงสกา เป็นการรวมองค์ประกอบเพลงแถบคาริบเบียนอย่าง เม็นโต และ คาลิปโซ เข้ากับ แจ๊ซทางฝั่งอเมริกา กับอาร์แอนด์บี มีลักษณะพิเศษตรงไลน์เบส สำเนียงกีตาร์ และจังหวะเปียโนที่ดูแตกต่างไป สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือมีการใช้เครื่องเป่า (อย่างแจ๊ซ) เช่น แซกโซโฟน, ทรัมเป็ต, ทรอมโบน เป็นต้น
และทศวรรษที่ 60 สกาถูกหมายถึงแนวดนตรีของ Rudeboy ในสหราชอาณาจักร สกาได้รับความนิยมในกลุ่ม ม็อดและพวกสกินเฮด มีวงอย่าง Symarip, Laurel Aitken, Desmond Dekker, และ The Pioneers เป็นต้น
แดนซ์ฮอลล์ (อังกฤษ: Dancehall) เป็นแนวเพลงป็อปของชาวจาไมกา ที่พัฒนาในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ในช่วงแรกเกิดขึ้นอย่างบางตาและไม่เน้นเรื่องการเมืองและศาสนาอย่างเร้กเก้ มากกว่าแนวเพลงที่โดดเด่นมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970[1]
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 เครื่องดนตรีรูปแบบดิจิตอลแพร่หลายมากขึ้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านดนตรี กับแดนซ์ฮอลล์แบบดิจิตอล (หรือ รักก้า) ที่เริ่มเพิ่มเอกลักษณ์โดยจังหวะเร็วขึ้นกับการเชื่อมโยงเล็กน้อยกับจังหวะ เร้กเก้ช่วงแรก
เป็นแนวเพลงที่เกิดในประเทศจาไมก้า ช่วงปลายทศวรรษที่ 50 ซึ่งต่อมามีการพัฒนาเป็น rocksteady และ เร้กเก้
เพลงสกา เป็นการรวมองค์ประกอบเพลงแถบคาริบเบียนอย่าง เม็นโต และ คาลิปโซ เข้ากับ แจ๊ซทางฝั่งอเมริกา กับอาร์แอนด์บี มีลักษณะพิเศษตรงไลน์เบส สำเนียงกีตาร์ และจังหวะเปียโนที่ดูแตกต่างไป สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือมีการใช้เครื่องเป่า (อย่างแจ๊ซ) เช่น แซกโซโฟน, ทรัมเป็ต, ทรอมโบน เป็นต้น
และทศวรรษที่ 60 สกาถูกหมายถึงแนวดนตรีของ Rudeboy ในสหราชอาณาจักร สกาได้รับความนิยมในกลุ่ม ม็อดและพวกสกินเฮด มีวงอย่าง Symarip, Laurel Aitken, Desmond Dekker, และ The Pioneers เป็นต้น
แดนซ์ฮอลล์ (อังกฤษ: Dancehall) เป็นแนวเพลงป็อปของชาวจาไมกา ที่พัฒนาในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ในช่วงแรกเกิดขึ้นอย่างบางตาและไม่เน้นเรื่องการเมืองและศาสนาอย่างเร้กเก้ มากกว่าแนวเพลงที่โดดเด่นมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970[1]
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 เครื่องดนตรีรูปแบบดิจิตอลแพร่หลายมากขึ้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านดนตรี กับแดนซ์ฮอลล์แบบดิจิตอล (หรือ รักก้า) ที่เริ่มเพิ่มเอกลักษณ์โดยจังหวะเร็วขึ้นกับการเชื่อมโยงเล็กน้อยกับจังหวะ เร้กเก้ช่วงแรก
เพลงเรกเก้
ประวัติ เร้กเก้
ร้กเก้ (อังกฤษ: reggae) เป็นแนวดนตรีแอฟริกัน-แคริบเบียน ซึ่งพัฒนาขึ้นบนหมู่เกาะจาไมก้า และมีความชิดใกล้เชื่อมต่อกับลัทธิรัสตาฟาเรียน (Rastafarianism) รากดั้งเดิมของเร้กเก้สามารถค้นหาได้จากดนตรีเทรดิชั่นหรือประเพณีนิยมของ แอฟริกัน-แคริบเบียนที่มีพอๆ กับดนตรีริธึ่มแอนด์บลูส์ของอเมริกัน
เร็กเก้ เป็นดนตรีที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่เดียวในโลกของประเทศจาไมก้า ซึ่งอิทธิพลทางดนตรีมาจากนิวออร์ลีน ริธึ่มแอนด์บลูส์ มาจากการฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ที่รับคลื่นสั้นจากสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
รากเหง้าของดนตรีคนแอฟริกัน-แคริบเบียน คือเพลงโฟล์คของจาไมก้าที่เรียกว่า เมนโต (Mento) มีท่วงทำนองเพลงไปในทางแนวดนตรีคาลิปโซ เนื้อหาของบทเพลงจะพูดถึงการเรียกร้องสิทธิของตัวเองและปัญหาความยากจนต่อประเทศเจ้าอาณานิคมในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกในทะเลแคริบเบียน
สำหรับจาไมก้าตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ พลเมืองตกเป็นทาสของคนผิวขาว ก็มีการพัฒนาดนตรีเมนโตนำมาผสมกับอาร์แอนด์บีทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ อเมริกา พัฒนาเปลี่ยนแปลงจังหวะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นดนตรีสกา (Ska) โดยเปลี่ยนแปลงจังหวะให้เพิ่มขึ้น กีตาร์เล่นจังหวะยก และมีการเล่นลัดจังหวะ ถือว่าเป็นการแปลความหมายของดนตรีอาร์แอนด์บีอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นที่นิยมกันอย่างมากในช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 60 และได้มีการพัฒนาขึ้นอีกขั้น บีทของดนตรีจึงถูกดึงให้ช้าลงใช้เปียโนและเบสที่มีอิทธิพลดนตรีร็อกเข้ามา จึงเรียกว่า ร็อกสเตดี้ (Rocksteady)
จนมาถึงปี 1968 ก็ได้มีการพัฒนาจนถึงขีดสุด ดนตรีเร็กเก้จึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แนวความคิดของลัทธิรัสตาฟาเรียน ทรงผมฟั่นเชือกหรือเดรด ล็อก และอุดมคติทางการเมืองและสังคม ในการพาชาวแอฟริกัน-แคริบเบียน กลับสู่แผ่นดินในทวีปแอฟริกา
สกา (Ska) และร็อกสเตดี้ (Rocksteady) คือพื้นฐานทางแนวดนตรีผู้มาก่อนเร็กเก้ในยุคทศวรรษที่ 60 ก่อนที่ บ็อบ มาร์เลย์ จะทำให้ดนตรีเร็กเก้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ก็เคยบันทึกเสียงในแนวดนตรีร็อกสเตดี้ในช่วงแรกในอาชีพของเขา สไตล์ดนตรีเร็กเก้ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากเรียกกันว่า รูทส์ เร็กเก้ (roots reggae) หรือ รูทส์ ร็อก เร็กเก้ (roots rock reggae) และใช้กับศิลปินอีกมากมายที่ทำงานในแบบเดียวกันอย่าง Black Uhuru, Burning Spear, Culture, Israel Vibrations, The Skatalites and Toots และ The Maytals ซึ่งสามารถส่งอิทธิพลมาถึงวง UB40 ในสหราชอาณาจักร
ในจาไมก้าเอง ดนตรีสไตล์ใหม่ได้ทวีความนิยมมากว่า โดยมีการพัฒนาไปสู่สไตล์เลิฟเวอร์ส ร็อก (Lovers Rock) , แด๊นซ์ฮอลล์ (Dancehall) และแร็กกามัฟฟิน (Raggamuffin)
ร้กเก้ (อังกฤษ: reggae) เป็นแนวดนตรีแอฟริกัน-แคริบเบียน ซึ่งพัฒนาขึ้นบนหมู่เกาะจาไมก้า และมีความชิดใกล้เชื่อมต่อกับลัทธิรัสตาฟาเรียน (Rastafarianism) รากดั้งเดิมของเร้กเก้สามารถค้นหาได้จากดนตรีเทรดิชั่นหรือประเพณีนิยมของ แอฟริกัน-แคริบเบียนที่มีพอๆ กับดนตรีริธึ่มแอนด์บลูส์ของอเมริกัน
เร็กเก้ เป็นดนตรีที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่เดียวในโลกของประเทศจาไมก้า ซึ่งอิทธิพลทางดนตรีมาจากนิวออร์ลีน ริธึ่มแอนด์บลูส์ มาจากการฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ที่รับคลื่นสั้นจากสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
รากเหง้าของดนตรีคนแอฟริกัน-แคริบเบียน คือเพลงโฟล์คของจาไมก้าที่เรียกว่า เมนโต (Mento) มีท่วงทำนองเพลงไปในทางแนวดนตรีคาลิปโซ เนื้อหาของบทเพลงจะพูดถึงการเรียกร้องสิทธิของตัวเองและปัญหาความยากจนต่อประเทศเจ้าอาณานิคมในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกในทะเลแคริบเบียน
สำหรับจาไมก้าตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ พลเมืองตกเป็นทาสของคนผิวขาว ก็มีการพัฒนาดนตรีเมนโตนำมาผสมกับอาร์แอนด์บีทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ อเมริกา พัฒนาเปลี่ยนแปลงจังหวะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นดนตรีสกา (Ska) โดยเปลี่ยนแปลงจังหวะให้เพิ่มขึ้น กีตาร์เล่นจังหวะยก และมีการเล่นลัดจังหวะ ถือว่าเป็นการแปลความหมายของดนตรีอาร์แอนด์บีอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นที่นิยมกันอย่างมากในช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 60 และได้มีการพัฒนาขึ้นอีกขั้น บีทของดนตรีจึงถูกดึงให้ช้าลงใช้เปียโนและเบสที่มีอิทธิพลดนตรีร็อกเข้ามา จึงเรียกว่า ร็อกสเตดี้ (Rocksteady)
จนมาถึงปี 1968 ก็ได้มีการพัฒนาจนถึงขีดสุด ดนตรีเร็กเก้จึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แนวความคิดของลัทธิรัสตาฟาเรียน ทรงผมฟั่นเชือกหรือเดรด ล็อก และอุดมคติทางการเมืองและสังคม ในการพาชาวแอฟริกัน-แคริบเบียน กลับสู่แผ่นดินในทวีปแอฟริกา
สกา (Ska) และร็อกสเตดี้ (Rocksteady) คือพื้นฐานทางแนวดนตรีผู้มาก่อนเร็กเก้ในยุคทศวรรษที่ 60 ก่อนที่ บ็อบ มาร์เลย์ จะทำให้ดนตรีเร็กเก้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ก็เคยบันทึกเสียงในแนวดนตรีร็อกสเตดี้ในช่วงแรกในอาชีพของเขา สไตล์ดนตรีเร็กเก้ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากเรียกกันว่า รูทส์ เร็กเก้ (roots reggae) หรือ รูทส์ ร็อก เร็กเก้ (roots rock reggae) และใช้กับศิลปินอีกมากมายที่ทำงานในแบบเดียวกันอย่าง Black Uhuru, Burning Spear, Culture, Israel Vibrations, The Skatalites and Toots และ The Maytals ซึ่งสามารถส่งอิทธิพลมาถึงวง UB40 ในสหราชอาณาจักร
ในจาไมก้าเอง ดนตรีสไตล์ใหม่ได้ทวีความนิยมมากว่า โดยมีการพัฒนาไปสู่สไตล์เลิฟเวอร์ส ร็อก (Lovers Rock) , แด๊นซ์ฮอลล์ (Dancehall) และแร็กกามัฟฟิน (Raggamuffin)
เพลงโอเวอร์เจอร์และเพลงอมตะ
เพลงโอเวอร์เจอร์ (Overture)
เป็นเพลงเล่นด้วยวงดนตรีสำหรับซิมโฟนี หรือวงดนตรีขนาดใหญ่ เล่นประกอบอุปรากรหรือละครดนตรี เล่นโหมโรงก่อนเปิดฉากการแสดงอุปรากรหรือละครดนตรีและโดยมากมักเอาทำนองเพลงต่าง ๆ ที่จะขับร้องในอุปรากรเรื่องนั้น ๆ มาปะติดปะต่อกันเข้าเป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง
เพลงอมตะ (Immoral song) หมายถึง เพลงใด ๆ ก็ได้ ที่ได้รับการยอมรับยกย่องว่า มีความไพเราะ และเป็นที่นิยมอยู่ทุกยุคทุกสมัย หรือ เป็นที่นิยมรู้จัก ฟังไพเราะอยู่เสมอไม่ว่า เวลาใด ยุคใด สมัยใด เช่นเพลงบัวขาว แสงทิพย์ ของไทย
เป็นเพลงเล่นด้วยวงดนตรีสำหรับซิมโฟนี หรือวงดนตรีขนาดใหญ่ เล่นประกอบอุปรากรหรือละครดนตรี เล่นโหมโรงก่อนเปิดฉากการแสดงอุปรากรหรือละครดนตรีและโดยมากมักเอาทำนองเพลงต่าง ๆ ที่จะขับร้องในอุปรากรเรื่องนั้น ๆ มาปะติดปะต่อกันเข้าเป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง

เพลงซิมโฟนี่
12. เพลงซิมโฟนี (Symphony)
หมายถึง ลักษณะของดนตรีที่พัฒนาถึงจุดสุดยอดในเรื่องของ จังหวะ ทำนอง ความแปรผัน และความละเอียดอ่อนทั้งหลาย นอกจากนั้นซิมโฟนียังเป็นดนตรีที่มีการแสดงออกในด้านต่าง ๆ อย่างบริบูรณ์ มีการเร้าอารมณ์โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย ไม่ต้องตีความ ถ้าจะเปรียบกับการแต่งประโยคในการเรียงความ เพลงซิมโฟนีก็จะเป็นประโยคเชิงซ้อนมากมายตั้งแต่ต้นจนจบ โครงสร้างของเพลงซิมโฟนี ตามแบบมีดังนี้
ก. ทำนองบอกกล่าว (Statement)
ข. ทำนองนำ หรือทำนองเนื้อหา (Exposition)
ค. ทำนองพัฒนา (Development)
ง. ทำนองอวสาน
เพลงซิมโฟนีตามแบบมักจะมี 4 กระบวน (ท่อน) แต่ละกระบวนมีทำนองเนื้อหาของตนเอง
ก. กระบวนที่ 1 มักจะเล่นในจังหวะ เร็วและแข็งขัน
ข. กระบวนที่ 2 เรียบและเรื่อยเอื้อย หรือช้าและแช่มช้อย
ค. กระบวนที่ 3 สั้น ๆ และระรื่น
ง. กระบวนที่ 4 รวดเร็วดังและรุนแรง
หมายถึง ลักษณะของดนตรีที่พัฒนาถึงจุดสุดยอดในเรื่องของ จังหวะ ทำนอง ความแปรผัน และความละเอียดอ่อนทั้งหลาย นอกจากนั้นซิมโฟนียังเป็นดนตรีที่มีการแสดงออกในด้านต่าง ๆ อย่างบริบูรณ์ มีการเร้าอารมณ์โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย ไม่ต้องตีความ ถ้าจะเปรียบกับการแต่งประโยคในการเรียงความ เพลงซิมโฟนีก็จะเป็นประโยคเชิงซ้อนมากมายตั้งแต่ต้นจนจบ โครงสร้างของเพลงซิมโฟนี ตามแบบมีดังนี้
ก. ทำนองบอกกล่าว (Statement)
ข. ทำนองนำ หรือทำนองเนื้อหา (Exposition)
ค. ทำนองพัฒนา (Development)
ง. ทำนองอวสาน
เพลงซิมโฟนีตามแบบมักจะมี 4 กระบวน (ท่อน) แต่ละกระบวนมีทำนองเนื้อหาของตนเอง
ก. กระบวนที่ 1 มักจะเล่นในจังหวะ เร็วและแข็งขัน
ข. กระบวนที่ 2 เรียบและเรื่อยเอื้อย หรือช้าและแช่มช้อย
ค. กระบวนที่ 3 สั้น ๆ และระรื่น
ง. กระบวนที่ 4 รวดเร็วดังและรุนแรง
เพลง REMIX
เพลงที่ทำการตกแต่ง, ปรับแก้หรือที่เรียกว่ารีมิกซ์ มักจะนับกันเป็นข้อๆดังนี้คือ
-Original mix นั่นหมายถึงเพลงที่ได้รับการแต่งใหม่จากทางค่ายต้นสังกัดเลย เนื้อหาหรือเมโลดี้มีการแต่งใหม่ หรืออาจมีการนำคนอื่นมาร่วมร้องเพิ่มด้วย โดยได้รับความอนุญาตจากสังกัดแล้ว และพร้อมที่จะวางขายแบบเป็นทางการ คนที่จะมารีมิกซ์เพลงส่วนใหญ่ จะมีชื่อเสียงในวงการเพลง และเป็นที่ยอมรับอย่างเช่น Fatboy slim, Antoine clamaran, Junior jack, Timo mass
-Bootleg mix เป็นการรีมิกซ์เพลงโดยโปรดิวเซอร์ หรือบรรดาดีเจทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในค่าย ในลักษณะแอบทำเองขึ้นมาส่วนใหญ่ จะเป็นการนำเส้นเสียงร้องมาทำเมโลดี้ใหม่, อาจมีการเพิ่มเสียงร้องของคนอื่นเข้าไปด้วย หรือบางทีก็ตัดมาเฉพาะบางส่วนของเพลง แล้วเอามาทำใหม ่แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังคงมีคอนเซ็ปต์ของเพลงอยู่ ไม่บั่นทอนอารมณ์ของเพลงไป
-Mash up mix รีมิกซ์เพลงแบบแอบทำเช่นกัน แต่ดูเหมือนเป็นการตัดแปะมากกว่า คือไม่สนใจว่าจะเสียคุณค่าเพลงไปรึเปล่า อยากใส่อะไรก็ใส่ลงไป ทำให้บางทีใจความของเพลงเปลี่ยนไปหรือไม่เป็นเพลงเลย ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็เรียกเพลงยำแหละคับ

-Original mix นั่นหมายถึงเพลงที่ได้รับการแต่งใหม่จากทางค่ายต้นสังกัดเลย เนื้อหาหรือเมโลดี้มีการแต่งใหม่ หรืออาจมีการนำคนอื่นมาร่วมร้องเพิ่มด้วย โดยได้รับความอนุญาตจากสังกัดแล้ว และพร้อมที่จะวางขายแบบเป็นทางการ คนที่จะมารีมิกซ์เพลงส่วนใหญ่ จะมีชื่อเสียงในวงการเพลง และเป็นที่ยอมรับอย่างเช่น Fatboy slim, Antoine clamaran, Junior jack, Timo mass
-Bootleg mix เป็นการรีมิกซ์เพลงโดยโปรดิวเซอร์ หรือบรรดาดีเจทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในค่าย ในลักษณะแอบทำเองขึ้นมาส่วนใหญ่ จะเป็นการนำเส้นเสียงร้องมาทำเมโลดี้ใหม่, อาจมีการเพิ่มเสียงร้องของคนอื่นเข้าไปด้วย หรือบางทีก็ตัดมาเฉพาะบางส่วนของเพลง แล้วเอามาทำใหม ่แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังคงมีคอนเซ็ปต์ของเพลงอยู่ ไม่บั่นทอนอารมณ์ของเพลงไป
-Mash up mix รีมิกซ์เพลงแบบแอบทำเช่นกัน แต่ดูเหมือนเป็นการตัดแปะมากกว่า คือไม่สนใจว่าจะเสียคุณค่าเพลงไปรึเปล่า อยากใส่อะไรก็ใส่ลงไป ทำให้บางทีใจความของเพลงเปลี่ยนไปหรือไม่เป็นเพลงเลย ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็เรียกเพลงยำแหละคับ

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)